สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล มีหลายชนิดซึ่งอาจจะมีแบบให้พลังงานหรือแบบไม่ให้พลังงาน ซึ่งเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ และลดน้ำหนัก
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ออกมาค่อนข้างหลากหลาย ทั้งอาหาร เครื่องดื่มแต่ไม่ใช่ทุกชนิดที่สามารถรับประทานได้โดยไม่จำกัดปริมาณ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนั้น ก่อนที่จะใช้สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลควรศึกษาให้ละเอียด ดูข้อมูลบนฉลากสินค้าก่อนใช้หรือบริโภค
หากเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภค การเลือกใช้สารทดแทนความหวานที่เหมาะสมและรับประทานในปริมาณที่จำกัดจะได้ประโยชน์สูงสุดโดยที่ไม่ส่งผลต่อสุขภาพ
ด้านนายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวต่อว่า สารให้ความหวาน คือ สารที่ให้รสสัมผัสที่หวาน สามารถนำไปใช้เป็นองค์ประกอบในการประกอบอาหารและผสมเครื่องดื่ม โดยสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลมี 2 แบบ
แบบที่ 1 : สารให้ความหวานที่ให้พลังงาน
1.สารให้ความหวานชนิดกลุ่มของน้ำตาล เช่น กลูโคส, ซูโคส, ฟรุกโตส ส่วนใหญ่อยู่ในนม น้ำตาลทราย ผลไม้
2.สารให้ความหวานที่เป็นแอลกอฮอล์ของน้ำตาล ให้พลังงานต่ำ อัตราการดูดซึม และอัตราย่อยสลายน้อยกว่ากลุ่มของน้ำตาล เช่น
- ไซลิทอล พบได้ใน พืช ผัก ผลไม้ตามธรรมชาติ
- ซอร์บิทอล สกัดได้จากอ้อย และมันสำปะหลัง
แบบที่ 2 : สารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน
1.สารให้ความหวานที่สังเคราะห์ เช่น แอสปาร์แตม ไม่มีกลิ่น รสชาติใกล้เคียงกับน้ำตาลทรายมากที่สุด
2.สารให้ความหวานที่มาจากธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่จะมีหลัก ๆ 2 ชนิด คือ
- หญ้าหวานกับสารสกัดจากหล่อฮังก้วย หรือ
- สารสกัดจากธรรมชาติ ซึ่งไม่มีแคลอรี่
นายแพทย์พัทธวุฒิ จันทูปมา หัวหน้าหน่วยเวชบำบัดวิกฤตศัลยกรรม กลุ่มงานศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยกล้าที่จะรับประทานสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล เนื่องจากกลัวผลเสียของสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล
เรื่องที่มักจะถูกเข้าใจผิดเกี่ยวกับสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาล
1.เรื่องของโรคมะเร็ง
เป็นความเชื่อมายาวนานว่า ในกลุ่มของขัณฑสกรจะทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริงเพราะงานวิจัยที่ออกมาถ้าจะทำให้เกิดโรคมะเร็งได้จะต้องใช้ในปริมาณที่ค่อนข้างมาก เช่น ปริมาณที่เป็นพิษต่อร่างกาย
2.ทำให้เกิดโรคเบาหวาน
ไม่เป็นความจริง เพราะมีงานวิจัยออกมาว่า สามารถที่จะใช้ในการลดน้ำหนัก และใช้ลดระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้เมื่อเทียบกับการใช้น้ำตาลทรายปกติ
3.การทำให้แบคทีเรียชนิดดีทำงานได้ไม่เต็มที่หรือตายไป
เป็นเรื่องที่ไม่จริง ถ้าจะทำลายได้ต้องใช้ในปริมาณมากซึ่งโดยปกติแล้วคนเราจะไม่สามารถรับประทานได้มากขนาดนั้น อีกทั้งบางชนิดอาจจะทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติกส์หรือเป็นอาหารของแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ ทำให้แบคทีเรียชนิดดีในลำไส้เพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ด้วย
สิ่งที่ดีที่สุด คือ การไม่ใส่ทั้งน้ำตาลและไม่ใส่สารให้ความหวานทดแทน มีงานวิจัยหลายชิ้นที่รองรับว่า การกินสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลไม่เพิ่มความอยากอาหารอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
อย่างไรก็ตาม สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลก็ยังคงให้รสชาติที่หวานอยู่ ดังนั้นแล้วคนที่ได้รับสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลจะยังคงติดรสหวานอยู่
สารให้ความหวานที่หมอแนะนำ คือ น้ำตาลหล่อฮังก้วย ซึ่งเป็นสารให้ความหวานโดยธรรมชาติ ผลข้างเคียงค่อนข้างต่ำและยังไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่า ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย
ทั้งนี้ น้ำตาลและสารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลมีทั้งประโยชน์และมีทั้งโทษ การรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ที่มา : thansettakij.com