6 แนวทางไลฟ์สไตล์ ‘เพื่อสุขภาพ’ ที่อาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี

หลายคนเลือกที่จะดำเนินวิถีชีวิต ‘เฮลตี้ไลฟสไตล์’ ไม่ว่าจะรับประทานอาหารคลีน เลือกอาหารที่อุดมไปด้วยผักและผลไม้ ควบคุมปริมาณเนื้อสัตว์ในแต่ละมื้อโดยเน้นอาหารที่มีพื้นฐานเป็นพืชมากขึ้น งดทานของที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเครตทั้งขนมเค้ก คุ๊กกี้ เป็นต้น ที่สำคัญยังหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ทว่าปัญหาที่ตามมาขณะออกกำลังกายหรือทำกิจกรรม กลับรู้สึกว่าร่างกายไม่ตื่นตัวหรือมีพลัง เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะแม้คุณจะใส่ใจสุขภาพแค่ไหนก็ตาม แต่หากมีพฤติกรรมที่ลดทอนพลังงานใน ก็อาจทำให้คุณไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้

ยาซี อันซารี (Yasi Ansari) นักโภชนาการและโฆษกของสถาบันโภชนาการและอาหารเพื่อการควบคุมน้ำหนัก (Academy of Nutrition and Dietetics) อธิบายว่า “บางครั้งการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพก็อาจไม่ช่วยทำให้คุณมีสุขภาพที่ดีได้ และยังบั่นทอนพลังงานหากเคร่งครัดมากเกินไป”

1.ลดแคลอรีมากเกินไป
เอลิซาเบธ เดโรเบอร์ทิซ (Elizabeth DeRobertis) นักโภชนาการและผู้อำนวยการของศูนย์โภชนาการอาหารที่สคาร์สเดลเมดิคัลกรุ๊ป โรงพยาบาล ไวต์เพลนส์ ได้บอกว่า “หากคุณพยายามที่จะลดน้ำหนักและลดแคลอรีมากเกินไป อาจทำให้คุณไม่มีพลังงานที่เหมาะสมเพื่อให้ดำเนินชีวิตได้ตลอดวัน”

เดโรเบอร์ทิซ อธิบายเพิ่มว่า อาหารให้พลังงานเพื่อยังคงมีสมาธิและทำสิ่งต่างๆ ได้ตลอดทั้งวัน ขณะที่บางครั้งผู้คนคิดว่าหากต้องการลดน้ำหนักก็ควรกินให้น้อยเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่นั่นไม่ได้ผลในระยะยาว เมื่อบางคนจำกัดอาหารที่นำเข้าสู่ร่างกาย ระบบการเผาผลาญจะช้าลงและอาจรู้สึกหมดพลัง ซึ่งสุดท้ายแล้วจะจบลงด้วยความหิว และตามมาด้วยการรับประทานเกินไป

สำหรับการแก้ปัญหานี้ ทาง เมลิสสา เมจัมดาร์ (Melissa Majmdar) นักโภชนาการและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำหนักและความอ้วน แนะนำว่า “หากคุณรู้สึกว่าไม่ค่อยมีพลัง ก็ควรเริ่มจากการเพิ่มโปรตีนปราศจากไขมันปริมาณ 1-2 ออนซ์ (30-60 กรัม) ธัญพืชเต็มเมล็ดครึ่งถ้วย หรือไขมันที่ดีต่อสุขภาพ 1 ช้อนชา”

2.เว้นระยะการรับประทานนานเกินไป
การปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป ก็ส่งผลให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าได้ โดย เมลิสสา เมจัมดาร์ กล่าวว่า “บางคนอาจเคยประสบกับอาการง่วงนอนตลอดเวลา เฉื่อยชา เหมือนกับลักษณะของการรับประทานมากเกินไปแทนการรู้สึกหิวตามปกติ หาก 2-3 ชั่วโมงหลังมื้ออาหารแล้วรู้สึกว่าแทบไม่มีพลังงานในการทำกิจกรรม ควรคิดถึงอาหารว่างที่เป็นไฟเบอร์และโปรตีน อย่างผลไม้สดกับถั่วสักหนึ่งกำมือ”

3.ตัดคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป
การรับประทานคาร์โบไฮเดรตน้อยเกินไปไม่เพียงทำให้รู้สึกไม่ดี เพราะนอกจากจะทำให้เหนื่อยและหงุดหงิดง่ายเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ยังสามารถนำไปสู่ภาวะการขาดน้ำของร่างกายซึ่งทำให้รู้สึกอ่อนล้าได้ด้วย

แม้คาร์โบไฮเดรตกับน้ำในร่างกายไม่น่ามีความเกี่ยวข้องกัน แต่ เดโรเบอร์ทิซ อธิบายความเกี่ยวข้องของการลดคาร์โบไฮเดรตซึ่งนำไปสู่การขาดน้ำของร่างกายว่า “ทุกกรัมของคาร์โบไฮเดรตที่เก็บสะสมในร่างกาย จะมีการเก็บน้ำไว้ด้วย 2-3 กรัม เมื่อบางคนรู้สึกว่าพลังลดลงในช่วงบ่าย ฉันจะคิดถึงต้นไม้ที่เหี่ยวเฉาและต้องการน้ำ เมื่อเรารดน้ำต้นไม้ มันก็จะฟื้นขึ้นมา ซึ่งฉันคิดภาพว่าสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นกับเซลล์ในร่างกายของเราด้วย เมื่อเราไม่ได้รับน้ำที่เพียงพอในแต่ละวัน”

การลดคาร์โบไฮเดรตโดยเฉพาะอาหารที่อุดมด้วยน้ำตาลเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ควรแน่ใจว่าไม่ได้ละเลยคาร์โบไฮเดรตที่อุดมด้วยไฟเบอร์อย่างผลไม้ ผัก และธัญพืชเต็มเมล็ด

4.ไม่รับประทานผักอย่างสมดุล
การไม่รับประทานเนื้อสัตว์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารไม่ได้หมายความว่าจะเป็นวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ เพียงแต่ว่าจะต้องตระหนักถึงการบริโภคสารอาหารต่างๆ ที่มีความสมดุล เอลิซาเบธ เดโรเปอร์ทิซ อธิบายว่า “หากบางคนเลือกที่จะรับประทานมังสวิรัติ แต่ไม่ระวังที่จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินบี 12 และธาตุเหล็ก ไม่ว่าจากอาหารเสริมหรือจากพืชอย่างเพียงพอ อาจต้องจบลงด้วยภาวะโลหิตจางและความรู้สึกเหนื่อยล้า”

นอกจากเนื้อวัวแล้ว อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงยังมีทั้งผักโชม และถั่ว ซึ่งหากรับประทานธาตุเหล็กจากพืชก็ควรที่จะเพิ่มวิตามินซีเข้าไปด้วยเพื่อช่วยในการดูดซึม ในขณะที่ เมลิสสา เมจัมดาร์ แนะนำว่า ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรระวังว่าอาจเกิดภาวะขาดวิตามินบี 12 แม้ว่าอาจใช้เวลาหลายปีในการทำให้เกิดภาวะนี้ แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารเสริมหากไม่รับประทานเนื้อสัตว์อย่างเนื้อวัว ปลา ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนม

5.รับประทานคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป
การรับประทานคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปในแต่ละมื้อทำให้เกิดความเฉื่อยชาได้ เพราะแม้กับคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพก็จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในร่างกาย แล้วตับอ่อนในร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างอินซูลีนออกมาเพื่อทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ ซึ่งนักโภชนาการและผู้อำนวยการศูนย์โภชนาการอาหารที่สคาร์เดลส์เมดิคัลกรุ๊ปได้แนะนำว่า ควรสังเกตอาการที่เกิดขึ้นหลังอาหารแต่ละมื้อ หากรู้สึกว่าเหนื่อยล้าหลังมื้ออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ก็ควรแบ่งการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในแต่ละช่วงของวัน

6.ออกกำลังกายมากเกินไป
การออกกำลังกายมากเกินไปเป็นอีกสิ่งที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า ซึ่งคำว่ามากเกินไปจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เป้าหมาย ระดับความเครียด สุขภาพโดยรวม ระดับความฟิตของร่างกาย รวมทั้งประเภทการออกกำลังกาย นอกจากนี้การที่ร่างกายมีพลังงานน้อยเกินไปสำหรับการออกกำลังกายยังทำให้เกิดความอ่อนล้าได้ เพราะในขณะออกกำลังกาย ร่างกายจะเผาผลาญไขมันร่วมกับคาร์โบไฮเดรต ซึ่งหากรับประทานคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอก็ยากที่จะเกิดพลังงานในการออกกำลังกาย และหากยังคงเกิดรูปแบบนี้ต่อไปก็จะทำให้คาร์โบไฮเดรตที่สะสมไว้ในร่างกายที่เรียกว่า ไกลโคเจน ไม่มีการสะสมเข้ามาใหม่ ส่งผลให้รู้สึกหมดแรง หงุดหงิด และขาดความมั่นใจในการออกกำลังกาย

จากคำอธิบายของนักโภชนาการ แนะนำเพิ่มว่า “เราจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้ด้วยการสังเกตความรู้สึกก่อนและหลังการออกกำลังกาย แล้วพิจารณาถึงการเพิ่มคาร์โบไฮเดรตหรือการแคลอรีที่เข้าสู่ร่างกาย หรือลดการออกกำลังเพื่อให้สมดุลกับพลังงานในร่างกาย”

นอกจากนี้ การพักผ่อนนอนหลับที่เพียงพอยังส่งผลต่อระดับพลังงานในร่างกายด้วย เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้มีพลังงานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ร่างกายมีการซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในระหว่างการออกกำลังกายด้วย

ที่มา : www.gqthailand.com/lifestyle

ติดตามเรา

spot_img

Related Articles

PHP Code Snippets Powered By : XYZScripts.com